เมนู

พรรณนาคาถาว่า จตูหปาเยหิ


พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการละกิเลสวัฏของพระโสดาบันนั้น
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อกิเลสวัฏนั้น มีอยู่ วิปากวัฏใดพึงมี เมื่อทรงแสดงการละ
วิปากวัฏแม้นั้น เพราะละกิเลสวัฎนั้นได้จึงตรัสว่า จตูหปาเยหิ จ วิปฺป-
มุตฺโต
ในคำนั้น ชื่อว่าอบายมี คือ นิรยะ ติรัจฉานะ เปตติวิสยะและ
อสุรกายะ อธิบายว่า พระโสดาบันนั้น แม้ยังถือภพ 7 ก็หลุดพ้นจากอบาย
ทั้ง 8 นั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการละวิปากวัฏของพระโสดาบัน
นั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ กรรมวัฏใด เป็นมูลรากของวิปากวัฎนี้ เมื่อทรง
แสดงการละกรรมวัฏแม้นั้น จึงตรัสว่า ฉ จาภิฐานานิ อภพฺโพ กาตุํ
และไม่ควรทำอภิฐานะ 6. ในคำนั้น บทว่า อภิฐานานิ ได้แก่ ฐานะอัน
หยาบ. พระโสดาบันนั้น ไม่ควรทำอภิฐานะนั้น. ก็อภิฐานะเหล่านั้น พึง
ทราบว่ากรรมคือ มาตุฆาต ฆ่ามารดา ปิตุฆาต ฆ่าบิดา อรหันตฆาต ฆ่า
พระอรหันต์ โลหิตุปบาท ทำโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ สังฆเภททำสงฆ์ให้
แตกกัน อัญญสัตถารุทเทส นับถือศาสดาอื่นคือเข้ารีต ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ในเอกนิบาต อังคุตตรนิกาย โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ [สัมมาทิฏฐิ] จะพึงปลงชีวิตมารดาเสีย ไม่เป็น
ฐานะ ไม่เป็นโอกาส [คือเป็นไปไม่ได้]. จริงอยู่ อริยสาวก ผู้ถึงพร้อมด้วย
ทิฏฐิ ไม่พึงปลงชีวิตแม้แต่มดดำมดแดงก็จริง ถึงอย่างนั้น อภิฐานะ 6 นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ก็เพื่อตำหนิภาวะแห่งปุถุชน. แท้จริง ปุถุชนย่อม
ทำแม้อภิฐาน ซึ่งมีโทษมากอย่างนี้ได้ ก็เพราะไม่ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ส่วน
พระโสดาบัน ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่ควรจะทำอภิฐานะเหล่านั้น. ส่วนการ

ใช้อภัพพศัพท์ในที่นี้ ก็เพื่อแสดงว่าพระโสดาบันไม่ทำแม้ในภพอื่น. ความจริง
แม้ในภพอื่น พระโสดาบันถึงไม่รู้ว่าตนเป็นอริยสาวกโดยธรรมดานั่นเอง ก็ไม่
ทำบาป 6 อย่างนั้น หรือทำเวร 5 มีปาณาติบาตเป็นต้น หรือถึงฐานะ 6 พร้อม
กับการนับถือศาสดาอื่น ซึ่งอาจารย์บางพวกหมายถึงแล้วกล่าวว่า ฉ จาภิฐานานิ
ดังนี้ก็มี ก็พระอริยสาวกและเด็กชาวบ้านผู้จับปลาตายเป็นต้น เป็นตัวอย่างใน
ข้อนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสคุณของอริยสาวกแม้ยังถือภพ 7 อยู่
ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ โดยคุณที่แปลกจากบุคคลอื่น ๆ ที่ยังละการถือภพไม่ได้
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ ทรงอาศัยคุณนั้นนั่นแล จึงทรงประกอบสัจจวจนะว่า
อิทมฺปิ สงฺเฆ รตนํ ปณีตํ แม้อันนี้ ก็เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์
นั้น. ความของสัจจวจนะนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวมาก่อนแล้วนั่นแล. พวก
อมนุษย์ในแสนโกฏิจักรวาล ก็พากันยอมรับพุทธอาชญาแห่งพระคาถามิแล.

พรรณนาคาถาว่า กิญฺจาปิ โส


พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสสัจจวจนะ มีสังฆรัตนะเป็นที่ตั้ง โดย
ที่แปลกจากบุคคลอื่น ที่ยังละการถือภพไม่ได้ของพระโสดาบันแม้ยังถือภพ 7
ภพ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ พระโสดาบันผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ. ไม่ใช่ไม่ควรทำ
อภิฐานะ 6 อย่างเดียวก็หาไม่ ทั้งยังไม่ควรทำบาปกรรมแม้เล็กน้อยอะไร ๆ แล้ว
ปกปิดบาปกรรมนั้นด้วย ดังนั้น จึงทรงเริ่มตรัสโดยคุณคือพระโสดาบันผู้ถึง
พร้อมด้วยทัสสนะ แม้อยู่ด้วยความประมาท ก็ไม่มีการปกปิดกรรมที่ทำมาแล้ว
ว่า กิญฺจาปิ โส กมฺมํ กโรติ ปาปกํ พระโสดาบันนั้น แม้ทำบาปกรรม
ก็จริง.